หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชีวิตกับต้นไม้


ชีวิตกับต้นไม้





        พืชพรรณให้ชีวิตกับทุกสรรพสิ่ง และมีคุณค่ามหาศาล เมล็ดพืชเพียงหนึ่ง สามารถเปลี่ยนเป็นต้นไม้ต่อไปนับร้อยพัน มันจึงมีหน่วยความจำที่ประมาณไม่ได้ซ่อนอยู่ ซึ่งแม้ที่จริงก็เหมือนคนเราที่บางคนอาจเติบโตและคงอยู่เป็นนิรันดร์โดยไม่เกี่ยวกับการสืบทอดผ่านลูกหลาน ขณะที่บางคนคงอยู่เพียงระยะเวลาหนึ่งเพื่อที่จะถูกลืมเลือน
        อย่างน้อยการปลูกต้นไม้สามารถทำให้เราได้มีโอกาสส่งเสริมโลก ส่งเสริมทุก ๆ ชีวิต ก็นับเป็นจุดเล็ก ๆ ที่สร้างความภาคภูมิใจให้เราได้


ไม้มงคล


ไม้พะยูง



ไม้พะยูง หมายถึง การพยุงฐานะให้ดีขึ้น

ข้อมูลทางวิชาการ
ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบเรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่
นิเวศวิทยา   ขึ้นในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้น ทั่ว ๆ ไป ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
ออกดอก   พฤษภาคม - กรกฎาคม ฝักแก่ กรกฎาคม - กันยายน
ขยายพันธุ์   โดยนำเมล็ดแช่ในน้ำเย็น 24 ชั่วโมง  แล้วเพาะในกะบะเพาะ  โดยหว่านให้กระจายทั้งกะบะเพาะแล้วโรยทรายกลบบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 7 วัน เมื่อกล้าไม้อายุ 10-14 วัน ความสูงประมาณ 1 นิ้ว มีใบเลี้ยง 1 คู่ สามารถย้ายชำในถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้ได้
ประโยชน์ เนื้อไม้สีแดงอมม่วง ถึงแดงเลือดหมูแก เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด


ไม้ราชพฤกษ์




 ไม้ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่และมีอำนาจวาสนา
ข้อมูลทางวิชาการ
ไม้ต้น   ผลัดใบ สูง 8 - 15 เมตร
นิเวศวิทยา   ถิ่นกำเนิดเอเชียแถบร้อน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป
ออกดอก   กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม ทิ้งใบก่อนออกดอก

ขยายพันธุ์   โดยเมล็ด  วิธีการเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ   นำเมล็ดมาตัดหรือทำให้เกิด บาดแผลที่ปลายเมล็ดแล้ว แช่น้ำไว้ 12 ชั่วโมง หรือแช่กรดซัลฟูริคเข้มข้น 1.84 ประมาณ 15 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด   แช่น้ำทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง วิธีนี้สะดวกแต่อันตราย และอีกวิธีหนึ่งคือ ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงในเมล็ด ทิ้งไว้ข้ามคืน ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำ ให้เมล็ดดูดน้ำเข้าไปและพร้อมที่จะงอก   
วิธีเพาะ   อาจหยอดลงในถุงดินที่เตรียมไว้หรือจะเพาะในแปลงเพาะแล้วย้ายชำกล้าในภายหลัง   ควรให้เมล็ดอยู่ใต้ผิวดิน 3-5 มิลลิเมตร รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 1-2 สัปดาห์
ประโยชน์   ราก ฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบาย รากและแก่นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย เนื้อไม้สีแดงแกมเหลืองทนทานใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ


โมก



ชื่อสามัญ               Moke
ชื่อวิทยาศาสตร์   Wrightia religiosa.
วงศ์                        APOCYNACEAE
ชื่ออื่น                    โมกหลวง
ลักษณะทั่วไป      โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง พบตามเรือกสวนไร่นาและตามป่าเบญจพรรณทั่วๆ ไปลำต้นมีความสูงประมาณ 5–12 เมตร ผิวเปลือกมีสีน้ำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็กๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขารอบลำต้นไม่เป็นระเบียบ ใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบ มีขนาดเล็กรูปไข่ ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม คล้ายใบแก้ว เนื้อใบบางสีเขียว ออกดอกตามซอกใบเป็นช่อๆ ละ 3-5 ดอก โดยจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดิน มีทั้งดอกลา และดอกซ้อน ดอกสีขาว กลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี ฝักออกเป็นคู่มีขนาดเล็กยาวคล้ายฝักถั่วเขียวยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีเมล็ดเรียงอยู่เป็นจำนวนมาก
การขยายพันธุ์    ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอน การปักชำ หรือจะขุดล้อมจากธรรมชาติมาปลูกเลี้ยงก็ได้ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือการเพาะเมล็ด และการปักชำ
การปลูก         ปลูกลงดิน ขนาดหลุมปลูก 30x30x30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ดินร่วน อัตรา 1:2 ผสมดินปลูก
                      ปลูกในกระถาง ใช้กระถางทรงสูงขนาด 12–18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ขุย มะพร้าว:ดินร่วน อัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูก ควรเปลี่ยนกระถางบ้างแล้วแต่ขนาดของการเจริญเติบโต และเพื่อเปลี่ยนดินใหม่ทดแทนดินเดิม
การดูแลรักษา
แสง        ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ          ต้องการน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5–7 วัน/ครั้ง
ดิน         ดินร่วนซุย ความชื้นปานกลาง
ปุ๋ย          ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1–2 กิโลกรัมต่อต้น ใส่ปีละ 4–6 ครั้ง
โมก        เป็นพันธุ์ไม้อีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับการทำไม้ดัด เนื่องจากมีทรงต้นที่สวยงาม และมีอายุยืนนาน






ไม้ยืนต้น


กันเกรา


ชื่อวิทยาศาสตร์         Fragraea fragrans Roxd
ชื่อสกุลไม้ กันเกรา        Fragraea Thumb.
 ชื่อพื้นเมือง
ตำเสา(ไทย เกาะพงัน ตรัง) ทำเสา (นราธิวาส) มันปลา (กบินทร์บุรี) เป็นต้น
ลักษณะทั่วไป       เป็นไม้ที่มีรูปทรงต้นเปลาตรง เรือนยอกเป็นรูปเจดีย์  มีใบเขียวตลอดปีให้ร่มเงาได้ดี เป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบสูง 8-30 ม.
ดอก       ออกเป็นช่อกระจะแยกแขนงตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ยาว 5 - 10 ซม. ก้านดอกสั้นๆ มีดอกออกหนาแน่นเป็นกระจุกบนช่อสั้นๆที่ปลายกิ่ง ดอกกลิ่นหอมเย็นๆ เมื่อดอกเริ่มบานจะสีขาวต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใกล้จะร่วงสีเหลืองเข้มขึ้น
  ผล        ผลกลมมีเนื้อขนาดเล็กรวมกันเป็นช่อดอก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มม. มีติ่งแหลมสั้นๆ อยู่ตรงปลายสุด เมื่อกแผลังไม่แยกออกจากกัน ผมอ่อน สีเขียว ผมแก่ไม่แตก เมื่อแก่เต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก
 การขยายพันธุ์ นิยมเพราะกล้าจาก เมล็ด การปักชำทำได้
 ด้านสมุนไพร และ สรรพคุณ          เปลือก บำรุงโลหิต แก้ผิวหนังพุพอง ปวดแสบปวดร้อน ขับลม แก้ไข้ แก้ปวดตามข้อ  และเป็นยาอายุวัฒนะได้อีกด้วย


ต้น จิก


ชื่อพื้นเมือง            ลุงหลวง
ลักษณะทั่วไป       ไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-15เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มรี หรือ แผ่กว้าง ปลายกิ่งมักลู่ลง เปลือกสีนำตาลแตกเป็นร่อนและเป็นสันแหลมตามยาวลำต้น
ดอก        ดอกมีกลิ่นอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบกระจะยาวที่ปลายกิ่ง ช่อห้อยลง ดอกออก เม.ย-พ.ค
ผล           ผลสด ทรงขอบขนานหรือกลม ผลออก พ.ค-มิ.ย
ด้านภูมิทัศท์     ปลูกริมนำหรือศาสาในสวนจะมองเห็นช่อดอกสวยงาม ทนนำทวมขัง รากช่วยยึดตลิ่ง และให้ลมเงาได้ดี
ประโยชน์         ยอดอ่อนและดอกอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสด รากใช้เป็นยาระบาย เปลือกใช้ชะล้างบาดแผลและเบื่อปลา ใบ กแท้องร่วง เมล็ดเป็นยาขับลมแก้ร้อนใน
ต้นจิกเป็นไม้มงคล   ในพระพุทธศาสนา ต้นจิกเรียกตามชื่อ พญานาคว่ามุจลินท์ ที่ได้ช่วยบังฝนให้พระพุทธเจ้าในเวลานั้น



โพธิ์


ชื่อพื้นเมือง    ปู โพ โพศรีมหาโพธิ์ ย่อม สลี
ลักษณะทั่วไป   ไม้ต้นใหญ่ สูง 20-30 เมตร ผลัดใบระยะสั้น เรือนยอดแผ่กว้าง ลำต้นใหญ่สั้นและเป็นพูพอน กิ่งก้านแผ่ขยาย มีรากอากาศไม่มากเปลือกเรียบสีนำตาลบนเทา
ใบ   ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่กว้างหรือสามเหลี่ยม ใบยาวคล้ายหาง โคนใบรูปหัวใจ
ดอก    สีเขียวอ่อน ออกรวมเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่งมีดอกตลอดปี
ผล   ผลสดแบบมะเดื่อ ทรงกลมสีม่วงดำ ออกผลตลอดปี
ด้านภูมิทัศน์   ให้ร่มเงา และทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี
ประโยชน์   เปลือกต้นทำยาชง แก้โรคหนองใน ใบและยอดอ่อนแก้โรคผิวหนัง
คนโบราณเชื่อว่า   บ้านใบปลูกต้นโพธิ์ไว้ประจำบ้านจะทำให้ เกิดความรมเย็น เพราะต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ในพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ รัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า




ไม้เถาเลื้อย


พวงหยก


ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Strongylodon macrobotrys 

ชื่อสามัญ :             Jade vine; Emerald creeper 
วงศ์ :                        Fabaceae 
ลักษณะทั่วไป

 ต้น      พวงหยกเป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง เถามีสีน้ำตาลเข้ม มักเลื้อยไปตามหลักต่าง ๆ หรือตามกำแพงแล้วจะทิ้งต้นย้อยลงมา แลดูสวยงาม จึงนิยมปลูกพวงหยกบริเวณริมกำแพง ซุ้มประตู หรืออาจ  เป็นซุ้มที่นั่งเล่น หรือซุ้มใสวนสาธารณะ

ใบ        ลักษณะของใบเป็นใบประกอบที่มีขนาดใหญ่ ใบมีความกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร และยาว
              ประมาณ 13 เซนติเมตร ใบจะออกสลับซ้าย - ขวา ไปตลอดกิ่ง และใบหนึ่งก้านใบ จะมีใบย่อย 
              3 ใบ ใบจะค่อนข้างรี มีปลายใบและโคนใบแหลม
ดอก      ลักษณะของดอกจะออกเป็นช่อแล้วห้อยลง ดอกมีสีเขียวหยกดอกจะเริ่มทยอยบานจากบริเวณ
               โคนช่อก่อน ลักษณะของตัวดอกนั้นจะคล้ายกับดอกแค แต่ดอกพวงหยกจะมีขนาดใหญ่กว่าดอก
               แต่ละดอกจะมีก้านดอกยึดติดกับแกนของช่อรวมกันเป็นพวง มีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประ
               ฆังส่วนกลีบดอกนั้นจะแบน ภายในหนึ่งดอกจะมี 5 กลีบ มีขนาด ต่าง ๆ มีเกสรตัวผู้อยู่กลางดอก
               10 กัน ช่อดอกที่สมบูรณ์มีความยาวประมาณ 65-70 เซนติเมตร

ฤดูกาลออกดอก  ออกดอกในช่วงฤดูหนาว
การปลูก ปลูกโดยการใช้เมล็ด จะต้องนำเมล็ดมาเพราะในกะบะเพาะ เมื่อเมล็ดแตกเป็นต้นอ่อนมีใบแท้ 2 ใบ 

ก็ให้ย้ายต้นอ่อนลงถุงกระดาษ ขนาดเล็กถุงละ 1 ต้น แล้วจึงค่อยนำถุงต้นกล้าออกวางให้ได้รับแสงแดดบ้าง จนได้รับแสงแดดเต็มที่ ประมาณ2 สัปดาห์ ก็สามารถนำต้นกล้าลงปลูกในบริเวณที่ต้องการได้
การดูแลรักษา

แสง     พวงหยกเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดพอสมควร จึงเหมาะที่จะปลูกในบริเวณที่แสงแดดส่องได้ถถึงหรืออาจจะปลูกบริเวณรั้วบ้านก็ได้ 

น้ำ        พวงหยกต้องการน้ำปานกลาง การให้น้ำควรให้วันละครั้ง ในตอนเช้าก็เพียงพอแล้ว
ดิน       ดินที่จะใช้ปลูกพวงหยก มักจะเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายที่สามารถระบายน้ำได้ดี หรือไม่เป็นดินเหนียวที่อุ้มน้ำไว้มากเกินไป
ปุ๋ย        ปุ๋ยที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยเคมี แต่หากจะใช้ปุ๋ยเคมีก็ให้ใช้ปุ๋ยสำหรับไม้ดอกก็ได้

การขยายพันธุ์

ด้วยการปักชำ หรือตอนกิ่ง หรือเพาะเมล็ด นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยขึ้นร้าน ศาลาริมน้ำ รั้วบ้านทางเข้าประตู 




อัญชัน


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L.
ชื่อสามัญ : Blue pea, Blue vine, Butterfly pea, Pigeon wings
ชื่อวงศ์ : Fabaceae
ชื่อสมุนไพรอื่น ๆ : แดงชัน เอื้องชัน
ลักษณะทั่วไป
   อัญชันเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก นิยมปลูกกันตามรั้วบ้าน ขึ้นได้ในดินทุกชนิดไม่เลือกสภาพ อายุนาน แต่ขึ้นกับอากาศ และสภาพแวดล้อม ใบเป็นใบรวม เถาและใบไม่รกแน่น ดอกมีหลายสีได้แก่สีครามแก่ สีน้ำเงิน สีขาว สีม่วง สีชมพู มีทั้งชนิดและกลีบซ้อน ดอกมีรูปร่างคล้ายฝาหอยเซลล์ กลีบนอกสีเขียว กลีบในมี 5 กลีบ กลีบบนใหญ่ สองกลีบข้างและกลีบล่างรวมกันเป็นรูปท้องเรือ นอกจากดอกมีความสวยงามแล้วใช้เป็นไม้ประดับแล้วนั้น ดอกอัญชันใช้ประโยชน์เป็นสีผสมขนมรับประทาน
ฤดูกาลออกดอก  อัญชันเป็นพันธุ์ไม้ที่ออกดอกตลอดปี
การปลูก
อัญชันมีวิธีการปลูกง่ายและขึ้นง่ายไม่ต้องการดูแลรักษามากนักวิธีการปลูกโดยการนำต้นกล้าจากการเพาะเมล็ดมาปลูกลงแปลงปลูก และบริเวณใกล้แปลงปลูกควรมีรั้ว หรือไม้ระแนงเพื่อ
ให้เถาอัญชันเลื้อยพาด หรือยึดเกาะเพื่อการทรงตัวได้
การดูแลรักษา
แสง          อัญชันเป็นไม้กลางแจ้งที่มีความต้องการแสงพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับต้องการแสงจัดมาก
น้ำ             ต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำจะต้องไม่ถึงกับแฉะ รดน้ำแต่พอชุ่มก็พอ และควรรดน้ำวัน   ละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและช่วงเย็น
ดิน             อัญชันจะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี
ปุ๋ย             ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกผสมกับดินปลูก
การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด


สร้อยอินทนิล


ชื่อวิทยาศาสร์      :               Thunbergia grandiflora.
ตระกูล                   :              ACANTHACEAE
ชื่อสามัญ              :               Key Vine, Sky Flower, Heavenly Blue, Blue Trumpet

ลักษณะทั่วไป
ต้น สร้อยอินทนิลเป็นไม้เถาเลื้อยที่มีขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยพันต้นไม้อื่นไปได้ไกลประมาณ 40-50 ฟุต เถาอ่อนมีสีเขียวเข้ม ส่วนเถาแก่จะเป็นสีน้ำตาล
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้น ลักษณะรูปทรงใบจะเป็นรูปไข่แกมรูป หัวใจ หรือใบคล้ายใบพลู
ดอก มีดอกสีฟ้าอ่อนถึงสีฟ้าเข้ม อกดอกเป็นช่อตามข้อต้นหรือตามซอกใบ
ฤดูกาลออกดอก   สร้อยอินทนิลจะออกดอกตลอดปี

การปลูก
สร้อยอินทนิลเป็นไม้ที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว มีนิสัยชอบอยู่กลางแจ้งเหมาะที่จะให้เลื้อยขึ้นซุ้มเพราะสร้อยอินทนิลเป็นไม้ที่มีใบดกแน่นทึบสามารถเป็นร่มไม้ใบบังได้เป็นอย่างดีและเมื่อยามออกดอกก็จะห้อยระย้าลงมา ดูสวยงามมาก การ
ดูแลรักษา
แสง
สร้อยอินทนิลเป็นไม้กลางแจ้ง จึงมีความต้องการแสงแดดมาก
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง หลังปลูกเมื่อต้นโตและแข็งแรงดีแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง แต่ละครั้งที่รดน้ำ / จะต้องรดจนดินชุ่มจึงจะพอ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องรดจนดินแฉะ
ดิน สร้อยอินทนิลเป็นไม้ที่ขึ้นง่ายในดินแทบทุกชนิด และถ้าเป็นดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี ก็จะยิ่งเจริญงอกงามได้ดี
ปุ๋ย ตอนปลูกให้ใช้ปุ๋ยหมักเป็นปุ๋ยรองก้นหลุม เมื่อต้นโตแล้วให้พรวนดิน บริเวณโคนต้นแล้ว ใส่ปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง
การขยายพันธุ์
โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำฤดูกาลออก




วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ต้นไม้ประดับ


ไทรย้อยใบแหลม


ชื่อพันธุ์ไม้                    ไทรย้อยใบแหลม
ชื่อสามัญ                     Golden Fig, Weeping Fig
ชื่อวิทยาศาสตร์            Ficus benjamina Linn.
วงศ์                             MORACEAE
ลักษณะทั่วไป       เป็นไม้ยืนต้นสูง 5 – 10 เมตร มีรากอากาศ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ดอกขนาดเล็ก มีฐานรองดอก ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ผลเป็นทรงกลม เมื่อสุกสีเหลือง
การปลูก  มี 2 วิธี
              1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้เพื่อประดับบริเวณสวนเพราะเป็นไม้ที่มีการแตกกิ่งก้าน สาขาที่กว้างใหญ่
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร
การขยายพันธุ์    การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักช
การดูแลรักษา
แสง ต้องการแสงแดดอ่อน จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง จนถึงมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง ดิน ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ความชื้นปานกลาง ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5: 2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-5 ครั้ง
โรค ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะมีความทนทานต่อโรคได้ดี ศัตรู เพลี้ยแป้ง (Mealy bugs)





ปาล์มขวด ( Royal palm )


ชื่อสามัญ               Royal palm
ชื่อวิทยาศาสตร์      Roystonea reqia
วงศ์                       PALMAE
ถิ่นกำเนิด                คิวบา (ปาล์มขวดเป็นต้นไม้ ประจำชาติของประเทศคิวบา)
ลักษณะโดยทั่วไป               ลักษณะทั่วไป ปาล์มขวดนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือ ตอนที่ยังเล็กอยู่จะป่องพองออกบริเวณโคนต้น แต่พอโตขึ้นอาการป่องพองนี้ก็จะไปเกิดที่กลางลำต้น โตเต็มที่ ลำต้นสูงประมาณ 20 เมตร ใบยาว 3-5 เมตร ทางใบสั้น ใบย่อยจะงอกออกจากแกนกลางใบเป็นแถว มีกาบใบสีเขียวเรียบเป็นมัน ห่อลำต้นไว้ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามขอบถนนหรือปลูกในสนามหญ้าก็ได้
การขยายพันธุ์
โดยการเพาะเมล็ดเพราะว่าปาล์มขวดไม่มีหน่อ
การดูแลรักษา
แสง        ต้องการแสงแดดจัด
น้ำ           ในระยะที่กำลังเจริญเติบโตจะต้องการน้ำมาก
ดิน          ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด
ปุ๋ย          ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้ปีละ 2 ครั้ง
โรคและแมลง       ไม่ค่อยพบโรคและแมลงที่เป็นปัญหา


ชวนชม


ชื่อสามัญ                    Impala Lily Adenium
ชื่อวิทยาศาสตร์          Adenium obesum.
ตระกูล                       APOCYNACEAE
ลักษณะทั่วไป       ชวนชมเป็นพรรณไม้ยืนต้นอวบน้ำขนาดเล็กลำต้นมีความสูงประมาณ1-3เมตรลำต้นอวบน้ำผิวเปลือกสีเขียวปนขาวผิวเรียบเป็นมัน ลำต้นมียางลำต้นบิดงอไปตามจังหวะแตกกิ่งก้านสาขาน้อยรูปทรงโปร่งใบแตกออกตามปลายของกิ่งก้านใบมนรี ปลายใบมน โคนใบสอบเรียว กลางใบมีเส้นสีขาวมองได้ชัด ตัวใบแข็ง ผิวเป็นมันเรียบมีสีเขียวดอกออกตรงปลายยอดของก้านดอกเป็นรูปแตร มีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีชมพูโคนกลีบดอกมีฐานรองดอกเป็นแฉกเล็กๆ สีเขียว ดอกบานมีความกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร
การปลูก การปลูกแบ่งเป็น 2 วิธี
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน
2. การปลูกในแปลงปลูกประดับบริเวณบ้านและสวน
การขยายพันธุ์             การปักชำ การตอน
การดูแลรักษา
แสง        ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง  ดิน         ดินร่วนซุย
น้ำ           ต้องการปริมาณน้ำน้อย ทนต่อความแห้งแล้งให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง
ปุ๋ย          ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง
โรคและศัตรู         ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพธรรมชาติได้ดี





ไม้พุ่ม


ชาฮกเกี้ยน


ชื่อวิทยาศาสตร์   Carmona retusa (Vahl) Masam.
ชื่อวงศ์                   Boraginaceae
ชื่อสามัญ                    -
ชื่อพื้นเมือง           ชาดัดใบมัน ข่อยจีน ชาญวน ชา ชาญี่ปุ่น
ลักษณะทั่วไป
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนมากเป็นพุ่มแน่นทึบ
ใบ
 ใบเดี่ยว เรียงสลับ มักออกเป็นกระจุกสั้นๆ ตามกิ่ง รูปไข่กลับแคบ กว้าง 0.5-2 เซนติเมตร ยาว 1-4 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นพูแหลมมักเป็นติ่งหนามอ่อน
โคนใบรูปลิ่ม  ขอบใบหยักผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันค่อนข้างหนา ด้านหลังใบสีเขียวอ่อน
ดอก
สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบ มีดอกย่อย 2-5 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปแถบสีเขียวอ่อน  ด้านนอกมีขนยาวประปราย โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเล็กน้อยเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 0.8 มิลลิเมตร
ผล
ผลสด รูปกลมขนาด 6 มิลลิเมตร สีส้มแดง มี 4 เมล็ด



ครุฑตีนกบ


ชื่อสามัญ               Variegated balfour aralia
ชื่อวิทยาศาสตร์   Polysias bafouriana "marginata"
ตระกูล                   ARALIACEAE
ถิ่นกำเนิด             แถบร้อนอัฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิค
ลักษณะทั่วไป
 ครุฑตีนกบนี้เป็นไม้พุ่ม มีความสูงประมาณ 1 - 1.5 เมตร ลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อน มีกระสีเขียวอ่อนตามลำต้นและกิ่งก้าน ใบประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ มีลักษณะคล้ายกับไต ใบกว้างประมาณ 8 เซนติเมตร พื้นใบมีสีเขียว แต่ที่ขอบใบจะมีสีขาวครีม ขอบใบหยักและมีหนามเล็กน้อยที่ขอบใบส่วนโคนของก้านใบมีลักษณะเป็นกาบเหมาะที่จะปลูกเป็นกลุ่มเป็นขอบสนามหญ้าหรือจะใช้จัดสวนหย่อมก็ได้
การขยายพันธุ์     โดยการตอนหรือปักชำ
การดูแลรักษา
แสง        ชอบแสง
น้ำ           ต้องการน้ำพอประมาณ
ดิน          เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย
ปุ๋ย          ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2 ครั้ง
โรคและแมลง       ไม่ค่อยพบ จะมีก็แต่แมลงพวกเพลี้ยต่าง ๆ
การป้องกันกำจัด                 ฉีดพ่นด้วยมาลาไธออกหรือไดอาซินอนทุกๆ 15 วัน ตามอัตราที่ระบุไว้ในฉลากจนกว่าจะหาย



คริสต์มาส

ชื่อสามัญ               Poinsettia
ชื่อวิทยาศาสตร์   Euphorbia pulcherima.
ตระกูล                   EUPHORBIACEAE
ลักษณะทั่วไป
ต้นไม้ชนิดนี้ที่ได้ชื่อเรียกว่า คริสต์มาสเพราะใบอ่อนด้านบนของต้นจะมีสีแดงสดในช่วงปลายปีถึงต้นปีชึ่งเป็นช่วงที่ประเทศตะวันตก มีการเฉลิมฉลองในเทศกาลครีสต์มาส จึงมีการนำเอาต้นไม้ชนิดนี้มาตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับเทศกาล ความโดดเด่นของต้นคริสต์มาสอยู่ที่ใบด้านบนที่มีสีแดงสด ส่วนใบล่างจะมีสีเขียว ใบเป็นหยัก 3 - 4 หยัก เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดกลางสูงได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งค่อนข้างชี้ตั้งขึ้น เป็นพุ่มแน่นคริสต์มาสเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับโกสนและโป๊ยเซียน ใบจะมีสีเขียวเข้ม ขอบใบหยัก ลำต้นจะมีสีน้ำตาล ยกเว้นส่วนที่ยังอ่อนจะเป็นสีเขียว ดอกจะมีสีแดงออกอยู่บริเวณยอดของก้าน แต่อันที่จริงดอกที่เราเห็นอยู่นั้นก็คือใบประดับ ที่เปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีแดงนั่นเอง
สภาพการปลูก
เป็นพรรณไม้ที่ปลูกที่แสงแดดกึ่งร่ม ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งกลางแจ้งและปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน
การขยายพันธุ์      ขยายพันธุ์โดยการตัดกิ่งปักชำ
การดูแลรักษา
แสง        ชอบแสงแดดจัด
น้ำ           ปานกลาง
ดิน          ปลูกได้ในดินทุกชนิด
ปุ๋ย          ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ใส่รอบ ๆ โคนต้น ให้เดือนละครั้ง
โรคและแมลง       ไม่ค่อยพบโรครบกวนเท่าไหร่ ที่พบมาก คือเพลี้ย